Thursday, July 21, 2016

ภาควิชาในคณะนิเทศศาสตร์

ภาควิชาในคณะนิเทศศาสตร์

>ภาควิชาการสื่อสารมวลชน
มุ่งเน้นการสอนความรู้เกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎีและหลักการปฏิบัติด้านการสื่อสารมวลชน โดยเน้นกระบวนการเรียนการสอนที่เสริมสร้างการเรียนรู้เนื้อหาวิชาการ และการปฏิบัติการด้านวิชาชีพ รายวิชาส่วนใหญ่จะเน้นด้านการกระจายเสียง เช่น การกระจายเสียงเบื้องต้น การผลิตรายการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ การสื่อข่าวและการเขียนข่าว เป็นต้น

เรียนจบไปแล้วทำงานอะไรได้บ้าง???

 การปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอผลงานผ่านสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ สังกัดในองค์กรของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชน รวมถึงการประกอบอาชีพอิสระในบทบาทของผู้ดำเนินรายการ ผู้เขียนบท ผู้กำกับรายการ ผู้ผลิตรายการ นักวิจัยด้านการสื่อสารมวลชน 


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาควิชาการสื่อสารมวลชน

>ภาควิชาวารสารสนเทศ

     ด้านวิทยาการข่าวสาร สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อสารสนเทศซึ่งครอบคลุมการแสวงหาข้อมูลข่าวสาร การเขียน การวิเคราะห์ ตลอดจนการจัดการและการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท นอกจากนี้ยังเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่เช่น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

เรียนจบไปแล้วทำงานอะไรได้บ้าง???

สายวิชาชีพวารสารศาสตร์โดยตรงเช่น งานหนังสือพิมพ์ งานด้านนิตยสารและวารสารประเภทต่างๆ งานข่าวในสำนักงานข่าวหรือสถานีวิทยุและโทรทัศน์ต่างๆ งานหนังสือพิมพ์ออนไลน์ งานในบริษัท ธุรกิจและการประชาสัมพันธ์ ตลอดจนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความต้องการผู้มีความรู้ในด้านวิชาวารสารสนเทศ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาควิชาวารสารสนเทศ 

 
>ภาควิชาการประชาสัมพันธ์

    ด้านสาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ จะเน้นหนักที่ทฤษฎี หลักการ และการปฏิบัติงานทางการประชาสัมพันธ์โดยทั่วไป และการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการตลาด ผู้เรียนจะมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการประชาสัมพันธ์ การโน้มน้าวใจ การสร้างประชามติ ตลอดจนทักษะการใช้สื่อประเภทต่างๆเพื่อประโยชน์ในงานประชาสัมพันธ์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ภาควิชาการประชาสัมพันธ์


>สาขาการโฆษณา

     สาขาวิชาการโฆษณาจะเน้นหนักในด้านงานโฆษณาต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการโฆษณา และการสื่อสารการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค การวางแผนสื่อ การรณรงค์ทางการโฆษณา การเขียนบทโฆษณา นิเทศศิลป์และคอมพิวเตอร์กราฟฟิกเพื่อการโฆษณา และการวิจัยโฆษณาและการตลาด

เรียนจบไปแล้วทำงานอะไรได้บ้าง???

   แหล่งงานอาชีพของสาขาการประชาสัมพันธ์และการโฆษณาโดยตรง เช่น เอเยนซีประชาสัมพันธ์ หน่วยงานของรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรสาธารณะกุศล และธุรกิจต่างๆ นอกจากนี้อาจประกอบธุรกิจ ด้านสื่อ เช่น การจัดทำสื่อต่างๆเพื่อการประชาสัมพันธ์


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การโฆษณา
  
>ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง

      สาขาวิชานี้ให้มีความสามารถในการพัฒนาตนเองในการสื่อสาร เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสื่อสาร (communication specialist) เป็นผู้ที่สามารถนำเสนอหรืออกแบบสาร (message designer) และยังมีความรู้ความเข้าใจในสาระของการบริหารกิจกรรม (speech activities) ในรูปแบบต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ 

เรียนจบไปแล้วทำงานอะไรได้บ้าง???

สามารถประกอบอาชีพได้ในองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประกอบวิชาชีพอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งดังนี้ งานด้านการเป็นผู้พูด/ผู้นำเสนอ, งานด้นวาทนิพนธ์และหารใช้วาทศิลป์สร้างสรรค์การเขียนต่างๆ, งานบริหารวาทกิจกรรมต่างๆ, งานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์, งานวิเคราะห์และพัฒนาระบบการสื่อสารในองค์กร, งานประสานความสัมพันธ์และความร่วมมือ และงานสื่อกลางการเจรจา 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สื่อสารการแสดง

>ภาควิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง

    เนื่องจากสื่อภาพยนตร์และภาพนิ่งได้กลายมาเป็นสื่อเพื่อการสร้างสรรค์และสนองความต้องการของคนหมู่มากในสังคมไทยและของคนทั้งโลก ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จึงมุ่งเน้นให้วิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง ยังเป็นพื้นฐานของการผลิตสื่อที่ให้ทั้งเสียงและภาพ ซึ่งเป็นสื่อที่มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยพัฒนาคนในสังคมโดยเฉพาะให้มีความเข้าใจในข่าวสารง่ายขึ้น มีความรู้กว้างขวาง สร้างสรรค์และจินตนาการ ภาพยนตร์ยังสามารถส่งเสริมนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติ และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิชาการภาพยนตร์และภาพนิ่ง

ที่มา: https://blog.eduzones.com/futurecareer/92620?refer=home

แนะนำ 8 สาขาในคณะบัญชี/บริหารธุรกิจ ที่น่าเรียน

แนะนำ 8 สาขาในคณะบัญชี/บริหารธุรกิจ ที่น่าเรียน

>> สาขาวิชาการตลาด 
สาขานี้ยอดนิยมตลอดกาล เรียนเกี่ยวกับการวางแผนการตลาดอย่างสร้างสรรค์ เรียนรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค การวิจัยการตลาด การส่งเสริมการขาย และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ประโยชน์ในการวางแผนทางการตลาด จบไปก็จะได้ทำงานเกี่ยวกับ การขาย นักวิจัยการตลาด นักบริหารลูกค้าสัมพันธ์ นักบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งงานด้านนี้กว้างมาก มีบริษัทรองรับหลากหลาย เรียกกันได้ว่าจบไปไม่มีตกงานแน่นอน แถมสาขานี้ถ้าทำงานไปแล้วเก่งจริงล่ะก็ เงินเดือนสูงลิ่วแซงเพื่อนๆที่เรียนคณะอื่นๆกันเลยทีเดียว 

>> สาขาวิชาการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ 

โอ้ โห้ แค่ชื่อก็กินขาดแล้วสำหรับสาขานี้ เพราะดูเป็นสมัยใหม่เข้าใจวัยรุ่นมากๆ ซึ่งใน 4 ปีก็จะได้เรียนเกี่ยวกับหลักการบริหาร และวางแผน การจัดการเชิงกลยุทธ์ ขั้นตอน และหลักการตัดสินใจ อีกทั้งคณะนี้จะส่งเสริมให้ได้ใช้ไอเดียของตัวเองมาริเริ่มในการประกอบ ธุรกิจตามที่ชื่นชอบอีกด้วย จบไปก็จะมีโอกาสก้าวสู่อาชีพในฝัน ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ ผู้จัดการสำนักงาน ผู้จัดการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ผู้บริหารระดับสูง หรือเจ้าของธุรกิจส่วนตัว 

>> สาขาวิชาการบริหารองค์กร และทรัพยากรมนุษย์ 
 สาขานี้จะเหมาะสำหรับน้องๆที่ชอบการทำงานกับ คน เพราะเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาองค์กร และพัฒนาคน รวมถึงมุ่งเน้นการฝึกให้ใช้แนวคิดไอเดียของตนเองเอามาวางแผนกำลังคน การสรรหาคัดเลือกบุคคลที่มีคุณภาพ การฝึกอบรม และการพัฒนา การประเมินผล การจ่ายค่าตอบแทน และ
แรงงานสัมพันธ์ จบออกไปอาชีพที่รอต้อนรับอยู่ ก็จะเป็น ผู้จัดการทั่วไป ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ผู้จัดการแผนกการจ้างงาน ฝ่ายแรงงานสัมพันธ์ หรือฝ่ายบุคคลนั้นเอง 

>> สาขาวิชาการเงิน 
ใคร ที่มีความฝันอยากเป็นหนุ่มสาวธนาคาร ต้องเรียนสาขาการเงินนี้เลย เพราะหลักสูตรจะเน้นการบริหารการเงินอย่างสร้างสรรค์ รอบรู้แนวคิด และหลักโครงสร้างการบริหารสถาบันการเงิน และตลาดหลักทรัพย์ หลักการลงทุน นโยบายการเงิน การคลัง ตลอดจนกฏหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง สาขานี้จบไป ไม่ได้ไปเป็นพนักงานตามเคาท์เตอร์ธนาคาร ที่เราเห็นๆกันอยู่หรอกนะครับ อิอิ แต่จะเป็นงานเกี่ยวกับ การบริหารการเงิน นักวิเคราะห์ และบริหารสินเชื่อ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักการธนาคาร หรืองานที่เกี่ยวกับปริวรรตเงินตราต่างประเทศ ยิ่งสามสี่อันหลังนี่ถ้าใครเก่งจริงๆ เงินเดือนสูงปรี๊ดดดด จนเพื่อนๆคณะอื่นพากันอิจฉาไปตามๆกันเลยทีเดียว 


>> สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ 
สาขายอด นิยมของคนที่ชื่นชอบทั้งคอมพิวเตอร์ และการบริหารฯ สาขานี้จะเรียนโดยสอนให้ใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่การเป็นนักบริหารด้าน คอมพิวเตอร์ เสริมศักยภาพระดับสูงด้วยการมีความคิดสร้างสรรค์ในด้านการบริหารธุรกิจ มีการเรียนใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เทคโนโลยีสารสนเทศ และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จบออกมาอาชีพที่รอต้อนรับอยู่นั้นก็คือ งานด้านไอที คอมพิวเตอร์ ต่างๆ แถมยังสามารถเข้าไปแย่งงานของสาย
กราฟิคดีไซน์ กับวิศวะคอม ได้ด้วยนะ เช่น นักออกแบบกราฟิกคอมพิวเตอร์ โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบ และวิเคราะห์ระบบงาน นักวิเคราะห์ทางธุรกิจ ผู้ดูแลเว็บไซต์ และผู้ให้คำปรึกษาด้านคอมพิวเตอร์ แต่สายนี้จะมีความละเอียดหน่อยนึง คำแนะนำของพี่หนึ่งคือ ถ้าชอบแต่คอมพิวเตอร์ ไม่ได้ชอบการบริหารล่ะก็ ให้ไปเรียนวิศวะคอมหรือวิทยาคอมเลย เพราะวิศวะกะวิทยาคอมจะเรียนคอมพิวเตอร์ 100% เลย แต่สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจนี้จะแบ่งเรียนคอม 50% การบริหาร 50% ครับ 

>> สาขาวิชาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ 
 สาขา ในฝันของเด็กสายศิลป์ หรือสายวิทย์(แต่มีหัวใจศิลป์) สาขานี้จะส่งให้กลายเป็นนักบริหารจัดการธุรกิจระหว่างประเทศรุ่นใหม่ ที่ก้าวไกลด้วยความคิดสร้างสรรค์ทางธุรกิจ มีแนวคิดทางด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศอย่างมีระบบ คนที่เรียนสายนี้จะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยเป็นว่าเล่นเลย ถ้าใครชอบเดินทางล่ะก็ เหมาะสุดๆ ด้านอาชีพที่รองรับจะเป็นพวก นักวิชาการ นักวิจัยด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ นักธุรกิจด้านการนำเข้า และส่งออก หรือที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจระหว่างประเทศ 


>> สาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจ 
กลาย เป็นสาขาใหม่ที่มาแรงมากๆ สำหรับสาขาวิชาการเป็นเจ้าของธุรกิจ เพราะหนุ่มสาวนักศึกษาล่าฝันทั้งหลายจะได้ฝึกฝนให้ได้เริ่มต้นก้าวไปสู่การ เป็นผู้ประกอบการ เป็นเจ้าของธุรกิจที่โดดเด่น จบมาไม่อยากเป็นลุกจ้าง อยากเปิดร้านขายเสื้อผ้า อยากเปิดร้านอาหาร ต้องสาขานี้เลย พร้อมเรียนแบบรู้ลึก และเข้าใจแนวคิดในการประกอบธุรกิจอย่างมีระบบ และสามารถผสานความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่
การสร้างธุรกิจในฝันของคุณ คนที่จบสาขานี้ส่วนใหญ่เปิดธุรกิจส่วนตัวได้ง่ายๆ สบายมาก ^_^ 

>> สาขาวิชาการบัญชี 
นี่ก็เป็นอีกสาขานึงที่ได้รับความนิยมกันอย่างมาก เพราะตำแหน่งงานเปิดกว้างกันมาก น้องๆที่เรียนจะได้ทำงานที่เกี่ยวกับ งบ งบดุล บัญชี ใบองค์กรต่างๆ หรือออกมาเปิดสำนักงานบัญชีของตัวเองก็ได้ (น้องๆคงจะเคยเห็นสำนักงานรับทำบัญชีอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เพียบเลย) คนที่เรียนสาขานี้จะต้องมีความรักในตัวเลขมากเป็นพิเศษ เพราะงานที่ทำจะเกี่ยวกับตัวเลข ไม่มี
การอินทิเกรตซับซ้อนอะไรหรอกนะ มีแค่การบวกลบคูณหารเท่านั้นเอง (แต่เยอะมวากกกกก) สาขานี้จบออกมาจะได้ทำงานเป็น นักบัญชี นักบริหารภาษี แถมสาขานี้ยังมีการอัพเกรดโดยการสอบผู้ตรวจบัญชี ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีนี้เป็นที่ต้องการและขาดตลาดมากๆ ในไทยมีคนสอบได้รวมทั้งหมดแล้วไม่กี่พันคนเองนะ หากเป็นได้แล้วไม่เพียงแค่ไม่ตกงาน แต่จะเงินเดือนสูงลิ่วๆเลย คนสอบได้จะได้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ว่ากันว่าผู้ตรวจสอบบัญชีนี้ ลายเซ็นต์ของเขาแกร๊กเดียว เท่ากับเงินเดือนของเพื่อนๆคณะอื่นทั้งเดือนกันเลยทีเดียว 

ที่มา: https://www.dektalent.com/board/view.php?topic=180


คณะนิติศาสตร์

คณะนิติศาสตร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ คณะนิติศาสตร์
นิติศาสตร์ ไม่ใช่สาขาวิชาที่เน้นท่องจำอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ แต่เป็นวิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และการวิเคราะห์วินิจฉัย อย่างถูกต้องแม่นยำ เพราะฉะนั้น การจะวินิจฉัยได้ดี และ ถูกต้อง เราก้อต้องเข้าใจและจำตัวบทได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องจำตัวบทได้ทุกตัวอักษร เพราะไม่จำเป็นเลย ถึงเวลาทำงานจริง เราก้อเปิดประมวลกฎหมายในการทำงานอยู่ดี นอกจากนั้น เรายังจะต้องเขียนเป็น เขียนเป็นไม่ได้หมายความว่าเขียนได้เยอะ หรือเขียนยังไงก็ได้ เราจะต้องเขียนให้ความหมายชัดเจน และสามารถเข้าใจได้ อีกทั้งต้องคำนึงถึงความสุภาพและภาษาที่ใช้ในทางกฎหมายอีกด้วย ภาษากฎหมายนั้น ถ้าใช้ผิดเพี้ยนไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบในการตีความที่ใหญ่หลวงได้  และนอกจากความเชี่ยวชาญในการศึกษาวิชาการแล้ว ยังจะต้องมีจริยธรรมหรือคุณธรรมสำหรับนักกฎหมายอีกด้วย เพราะกฎหมายเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตคน ถ้าใช้อย่างไม่ยุติธรรมก็จะเกิดความเดือดร้อนและวุ่นวายในสังคม(อย่างที่เป็นอยู่ในสังคมปัจจุบัน) และที่สำคัญ คนที่จะเป็นนักกฎหมายที่ดีได้ จะต้องมี Legal Mind หรือ หัวกฎหมาย ด้วย ( แต่สิ่งนี้ ฝึกกันได้ค่ะ) เรียนๆไปแล้วจะรู้เอง
นิติศาสตร์ผมขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักนะครับ
image description

กฎหมายเอกชน

จะเน้นกฎหมายแพ่ง, พาณิชย์ และกฎหมายอาญา ซึ่งจะมีมาตราและองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจนสำหรับการวิเคราะห์วินิจฉัย วิชาที่ต้องเรียนก็เช่น กฎหมายประกันภัย กฎหมายเกี่ยวกับการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน การบัญชีสำหรับนักกฎหมาย กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

กฎหมายมหาชน

จะเน้นกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยมีมาตรา แต่จะเน้นการตีความและสิ่งที่เป็นนามธรรม  วิชาที่เราต้องเรียนก็มี กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง กฎหมายการคลัง กฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ กฎหมายสิ่งแวดล้อม

กฎหมายต่างประเทศ

กฎหมายต่างประเทศจะครอบคลุมต่างประเทศในทุกด้านเช่น  กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

จบนิติศาสตร์ทำงานอะไร

ราชการ ถ้าเป็นสายตรง ก็เรียนแล้วไปเป็นผู้พิพากษาอัยการ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเกียรติ รายได้ดี แต่ก็เป็นอาชีพที่เป็นได้ยากมากที่สุด เพราะเมื่อเรียนจบแล้วจะต้องไปสอบเนติบัณฑิต ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้สอบผ่านประมาณ 7% (พันกว่าคนจากคนสอบประมาณเจ็ดหมื่น) แล้วเมื่อได้เนแล้ว ก็จะต้องรอให้อายุครบยี่สิบห้า พร้อมกับมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการตุลาการกำหนด เช่นเคยว่าความมาแล้วกี่คดี เรียนปริญญาโทมาแล้วกี่ปีวิชาอะไรบ้าง (ต้องเช็คกันเป็นรายปี เพราะกฎตรงนี้เปลี่ยนอยู่เสมอ) ก็ไปสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา หรืออัยการผู้ช่วย ได้ ซึ่งตรงนี้ คนที่จะสอบได้จะมีประมาณ 1-3% ของคนที่ผ่านเนแล้ว เรียกได้ว่ากว่าจะเป็นได้นี่เลือดตาแทบกระเด็น

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนนิติศาสตร์

จุฬาลงกรณ์ เกษตรศาสตร์ ขอนแก่นเชียงใหม่ ทักษิณ ธรรมศาสตร์ นเรศวร บูรพา มหาสารคาม แม่ฟ้าหลวง สงขลานครินทร์ อุบลราชธานี
ที่มา: http://www.law.chula.ac.th/home/default.aspx


คณะแพทยศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์
สาขาของแพทย์เฉพาะทาง
อายุรแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อายุรแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์
สูตินรีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สูตินรีแพทย์
ศัลยแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศัลยแพทย์
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยกรรมกระดูกและข้อ)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ศัลยแพทย์ ออ ร์ โธ ปิ ดิก ส์
จักษุแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ จักษุแพทย์
จิตแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ จิตแพทย์
แพทย์โสตศอนาสิก - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโสตศอนาสิกวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แพทย์โสตศอนาสิก
พยาธิแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พยาธิแพทย์
รังสีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รังสีแพทย์
วิสัญญีแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิสัญญีวิทยา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิสัญญีแพทย์
กุมารแพทย์ - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กุมารแพทย์
แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชปฏิบัติครอบครัว
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แพทย์เวชปฏิบัติครอบครัว
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน - แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แพทย์ เวชศาสตร์ ฉุกเฉิน
ทันตแพทย์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทันตแพทย์
เภสัชกร
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เภสัชกร
สัตวแพทย์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สัตวแพทย์
พยาบาล
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ พยาบาล


ที่มา: http://www.md.chula.ac.th/

7 วิธีอ่านหนังสือ อ่านอย่างไรให้ถึงฝัน

7 วิธีอ่านหนังสือ อ่านอย่างไรให้ถึงฝัน

1. อ่านให้ลึก
การ อ่านของเด็ก ๆ มักจะอ่านเยอะ อ่านกว้าง แต่ไม่ลึก ทำให้ไม่เข้าใจถึงแก่นของเรื่องที่อ่านได้อย่างชัดเจน ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนวิธีการอ่านโดยการทำความเข้าใจกับแก่นของเรื่องที่ อ่าน มากกว่าที่จะอ่านในปริมาณที่มากและรู้เพียงผิวเผิน
2. แปลงร่างหนังสือ
การอ่านหนังสือในแบบเดิมทำให้เกิดอาการเบื่อง่าย การเปลี่ยนบทเรียนตัวอักษรในหนังสือให้กลายเป็นสื่อใหม่ ๆ เช่น เป็นหนังสือเสียง ด้วยการอัดเสียงของตัวเองหรือเพื่อนเป็นข้อความตามบทเรียน หรือการทำเป็นแผนที่ความจำ (Mind Map) เป็นต้น
3. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยี
โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และวิทยุ เป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างการอ่านหนังสือ หลายคนมักคิดไปเองว่าเราสามารถฟังเพลง ดูโทรทัศน์ คุยโทรศัพท์ หรือนั่งแชทกับเพื่อนไปพร้อม ๆ กับการอ่านหนังสือได้ แต่ความจริงเมื่อเราทำหลาย ๆ สิ่งพร้อมกัน สมาธิที่ควรมีให้กับการอ่านจะถูกแบ่งไปทำอย่างอื่นด้วย ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านได้น้อยลง
4. อย่ายุ่งกับ คาง
โชค อิมิเน้นแอร์ เป็นรองก่อนฟันศอกเข้าปลายคาง เอาชนะทีเคโอ เพชรอัศวิน ซีทรานเฟอร์รี่ ชนิดทีเดียวหลับสนิทไปในยกที่ 4” พาดหัวข่าวเด็ดนี้คงเป็นคำตอบว่า ทำไมจึงไม่ควรไปยุ่งกับ คางเนื่องจากประสาทสัมผัสบริเวณคางหากมีการ กดทับ สัมผัส หรือนวด เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ร่างกายรู้สึกง่วง และหากถูกกระแทกแรง ๆ อาจถึงขั้นสลบแบบนักมวยได้เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่ออ่านหนังสือควรหลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ, นั่งเท้าคาง หรือเอามือนวดบริเวณปลายคาง เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับและการกระตุ้นประสาทสั่งการ หลับของร่างกายเราเอง
5. ปรับแสงให้เหมาะสม
จากการวิจัยพบว่า ความสว่างและมืดของไฟมีผลถึง 75% ต่อ การอ่านหนังสือ ไฟที่สลัวเกินไปจะทำให้รูม่านตาต้องขยายเพิ่มมากขึ้นเพื่อรับแสงและไฟที่ สว่างมากเกินไปทำให้รูม่ายตาหรี่เล็กกว่าปกติ หรือบางครั้งต้องหยีตาลงเพื่ออ่านหนังสือ 2 ปัจจัยนี้ทำให้กล้ามเนื้อและประสาทตาเกิดอาการล้า จนไม่สามารถอ่านหนังสือได้นาน มีผลทำให้ง่วง หรือปวดตา (เนื่องจากสายตาต้องการพักผ่อน) ดังนั้นควรปรับแสง หรืออ่านหนังสือในห้องที่มีแสงพอเหมาะจะดีที่สุด
6. อุปกรณ์เสริมไม่ต้อง! อุปกรณ์เสริมในที่นี้หมายถึง ขนมและของกินทุกประเภท โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนประกอบ 70 – 80% เป็นแป้งและโมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีการเผาผลาญก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เมื่อร่างกายรับ CO2 เข้าไปในปริมาณมาก (จากอากาศที่หายใจและการเผาผลาญที่ไม่สมบูรณ์) จะก่อให้เกิดอาการง่วงนอนและหลับได้ เปรียบได้กับคำที่ว่า หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน

7. เคล็ดเด็ด เผ็ดพริกขี้หนู แม้ว่าจะไม่ผ่านการรับรองผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แต่พี่นัทยาขอยืนยันกับกลเม็ดแก้ง่วงวิธีนี้ นั่นคือ เคี้ยวพริก”“รับรองว่าไม่มีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง แถมมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะพริกเป็นสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งเช่นกันพี่นัทยายืนยันหนักแน่น เพียงปลายพริกเล็ก ๆ 1 คำ พร้อมน้ำอุ่น 1 แก้ว ความเผ็ดร้อนจะกระจายไปทั่วทั้งปาก เปลือกตาที่เคยปรือ ๆ จะกลับมาสดชื่นดังเดิมแน่นอน
ที่มา: http://campus.sanook.com/971130/

วิธีเตรียมสอบเข้ามหาลัย

วิธีเตรียมสอบเข้ามหาลัย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ วิธีเตรียมสอบเข้ามหาลัย
1.รู้จักตัวเองให้มากพอ รู้ว่าสิ่งไหนคือตัวเรา อยากทำงานอะไร อย่าเพิ่งคิดว่าเรียนเพื่อจบมาทำงานเพื่อมีตังค์ ให้น้องคิดก่อนว่าอะไรคือตัวน้อง งานแบบไหนเหมาะสำหรับน้อง ต่อให้น้องทำงานที่ตลาดต้องการน้อย แต่น้องเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ ทำงานเหมาะกับน้อง น้องไม่มีทางตกงาน พี่เชื่อแบบนี้

2.สมมติว่ารู้แล้วว่าจะเรียนอะไรนะ55555 สำรวจคะ สำรวจว่ามหาวิทยาลัยไหนบ้างที่มีคณะนี้ สาขาแบบนี้ ลิสเป็นรายการมาเลยคะ น้องจะเรียนคณะอะไรของมอไหนจ้า แรกๆก็10อันดับก่อนก็ได้ พอน้องใกล้จะสอบน้องจะรู้เองว่าเหลือคณะไหนที่จะเข้า หึหึ

3.ดูเกณฑ์ไว้เลยคะหนู รับตรงเปิดรับไหม กี่คน แอดชิชชั่นล่ะ ใช้เกณฑ์อะไรบ้าง สายวิทย์หรือสายศิลป์(เช็คดีๆนะคะ) กี่คน ขอบอกนิสนุงปีพี่2558อะ คะแนนo-netไม่เกิน50คะแนน ยื่นมนุษย์อิ้งหลายๆที่ไม่ได้นะคะ

4.สะสมคะแนสูงสุด-ต่ำสุดไว้คะ ปล้นจากพี่ที่จบไปแล้วก็ได้ ฟรีๆไม่เสียตังค์555555 คะแนนพวกนี้ไว้ดูว่าปีเรามีโอกาสขึ้นหรือลงจากเดิม แต่หนูๆม6ต้องหูตาไวนะลูก ปีพี่(ยกตัวอย่างแป๊ป5555)อาเซียนมาแรงคะ 8อาชีพไม่ตกงานนี้มีอิทธิพลรุนแรง คะแนนแอดมิชชั่นพยาบาลพุ่งปรี๊ดจ้าาา แล้วก็รัฐบาลออกสนับสนุนครู คะแนนครูก็พุ่งตามเช่นกัน อิฉันจึงหลุดครูแบบไม่ต้องสงสัย55555

5.เมื่อเรารู้เกณฑ์แล้ว ก็ตามเก็บไว้เลยคะ
สมมติว่าน้องa อยากเข้าพยาบาล น้องaต้องติดตามข่าว มอไหนเปิดสอบพยาบาลรอบตรงบ้าง มอไหนเปิดโควต้าบ้าง

ถ้าน้องaจะรอรอบแอดชิชั่น ก็ต้องเช็คเกณฑ์ของคณะพยาบาลให้ดีคะ เช่นระบบAdmissions 58 เกณฑ์คัดเลือกคือ GAT 20% PAT2 30% ONET 30%  GPAX 20%น้องa ก็ต้องไปตามอ่านPAT2 GAT O-netให้ดีคะ เราลองคำนวณคะแนนได้นะ สมมติมาก็ได้
ที่มา: http://pantip.com/topic/33980940

Sunday, July 10, 2016

วิธีมีความสุขกับงานที่คุณไม่ชอบ

วิธีมีความสุขกับงานที่คุณไม่ชอบ
1. อยู่กับความเป็นจริง
          คุณไม่ควรออกจากงานถ้าคุณยังหางานใหม่ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยคุณก็ยังมีงานทำ แม้ว่าคุณจะเกลียดมันก็ตาม อย่าคิดว่าคุณไม่มีทางเลือก ถ้าคุณยังไม่ได้ลงมือค้นหาหนทางใหม่ ๆ
2. เปลี่ยนทัศนคติ
          หันมามองงานของคุณในแง่ดี และนึกถึงข้อดีของงาน เช่น งานนี้ทำให้คุณมีโอกาสได้พบกับคนมากมาย และเป็นโอกาสอันดีที่คุณจะได้เพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ มองที่โอกาสก้าวหน้า และมองไปที่อนาคต ดีกว่ามองว่า มันคืออุปสรรคปัญหา ที่กีดขวางความก้าวหน้าของคุณ
3. ค้นหาโอกาสที่ซ่อนอยู่
          ถ้ามีงานบางอย่างที่คุณชอบทำมากกว่า และที่สำคัญคุณสามารถทำมันได้ดีด้วย นำเสนอตัวคุณด้วยความมั่นใจว่าคุณสามารถทำได้ดีกว่าคนอื่น ๆ นี่เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวคุณได้ทำงานที่ท้าทายกว่าที่เป็นอยู่
4. หาให้เจอว่าคุณเกลียดอะไร
          เมื่อคุณรู้สึกเกลียดงานของคุณเสียเหลือเกิน คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าทำไมคุณถึงเกลียดงานนั้น หาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อแก้ไขให้ตรงจุด แล้วคุณก็จะไม่ต้องวนเวียนอยู่ในวังวนเช่นเดิมอีก
5. ค้นหาสิ่งที่คุณชอบในสิ่งที่คุณเกลียด
          แม้ว่าตอนนี้คุณจะรู้สึกเกลียดงานของคุณ แต่เชื่อว่าคุณไม่น่าจะเกลียดงานทั้งหมด น่าจะมีบางอย่างที่คุณชอบทำอยู่บ้าง หรืออย่างน้อยคุณก็ต้องเคยชอบมันมาก่อน ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ตัดสินใจทำงานนี้ตั้งแต่แรกหรอกจริงไหม
6. ศึกษาจากคนที่ทำงานแบบคุณ
          อาจไม่ใช่เพียงคุณคนเดียวที่เกลียดงานที่ทำ และคุณอาจไม่ใช่คนแรกที่รู้สึกเช่นนี้ การได้พูดคุยกับคนที่ทำงานแบบคุณ อาจทำให้คุณพบแนวคิดที่เป็นประโยชน์ในการทำงาน ซึ่งทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
7. หาโอกาสทำในสิ่งใหม่ ๆ และท้าทายกว่าเดิม
          คุณอาจต้องการเปลี่ยนงานเพราะรู้สึกว่างานที่คุณทำอยู่ไม่มีอะไรท้าทายคุณอีกแล้ว ลองหาโอกาสฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ ด้วยตัวเอง เรียนรู้เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่คุณชอบ พบปะผู้คนใหม่ ๆ หรือหาสิ่งที่ท้าทายให้ตัวเองได้เปลี่ยนบรรยากาศ เช่น อาสาช่วยงานในส่วนอื่นที่คุณสนใจ อาจช่วยให้คุณไม่จมอยู่กับความรู้สึกเกลียดงานได้ เพราะอย่างน้อยคุณก็ยังมีอย่างอื่นให้คิด ให้ทำอีกตั้งเยอะ
ที่มา: https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94

10 อาชีพยอดนิยมในอนาคต

10 อาชีพยอดนิยมในอนาคต
1.  นักสื่อสารและงานผูกมิตร
หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นงานด้านสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์  อาชีพนี้ยังคงคิดอันดับหนึ่งในสิบของวิชาชีพที่คนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากเป็น  ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว  นักเขียน  หรือนักประชาสัมพันธ์  ล้วนเป็นอาชีพที่ต้องทำงานด้านข่าวสาร  ความเคลื่อนไหวเพื่อกระจายไปสู่คนหมู่มาก  งานเหล่านี้จึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  สนุกสนาน  เรียกว่าไม่ซ้ำซากจำเจกับงานรูปแบบเดิมๆ  เหมือนทุกวัน  เราจึงไม่แปลกใจที่งานด้านสื่อสารมวลชนและการประชาสัมพันธ์ต่างเป็นที่หมายปองของคนทั่วไป  ชนิดที่ว่าเปิดรับสมัครเมื่อไหร่เป็นเต็มทันใจทุกที
2.  หัวใจบริการคืองานของเรา
แม้ว่าทุกวันนี้งานบริการบนฟ้าอย่างการเป็นแอร์โฮสเตสและสจ๊วตยังคงมีหนุ่มสาวรุ่นใหม่  ส่งใบสมัครกันไม่ขาดสาย  แต่งานบริการก็ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่  งานรูปแบบเดิมๆ  โดยเฉพาะงานบริการด้านอาหาร  อย่างการจัด Catering  งานจัดเลี้ยงนอกสถานที่  ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มลูกค้าเอเยนซี่โฆษณา  ออร์แกไนเซอร์  ไปจนถึงงานเลี้ยงส่วนตัว  เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่   งานบริการรูปแบบนี้ถือเป็นอีกหนึ่งงานที่สนุก  และท้าทาย  ยิ่งเรื่องของอาหารด้วยแล้ว  หากคุณมีความรู้และรู้จักที่จะดัดแปลงให้แปลกตา  น่ามอง  และน่าชิม  รับรองว่า งานบริการอย่าง Catering  จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับคุณเลยทีเดียว
 3.  นักกิจกรรม  สร้างสรรค์งานเก๋
นักจัดอีเวนท์เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากของคนยุคนี้  ทั้งในรูปแบบของบริษัทออร์แกไนเซอร์  รับจ้างจัดงานเปิดตัวสินค้า  สถานที่ต่าง ๆ หรือจะเป็นในลักษณะของฟรีแลนซ์  รับวางแผนสร้างสรรค์ไอเดีย  เก๋ๆ ไปจนถึงขั้นตอนการเตรียมงาน  และความพร้อมต่าง ๆ  จนกระทั่งนับถอยหลัง 5 4 3 2 1  กันเลย  และรูปแบบของงานประเภทนี้จึงเน้นไปในเรื่องของความคิดที่แปลกใหม่  และการทำงานที่ต้องแข่งขันกับเวลาและความทันสมัย  ใครรู้ตัวว่ามีไอเดียกระฉูด และสามารถทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงๆ  ลองพิจารณาสาขาอาชีพนี้ดูหน่อยดีมั้ย
 4.  เนรนิตงานสวย  ผ่านการดีไซน์
ใครรู้ตัวว่าเป็นคนช่างดีไซน์  รู้จักดัดแปลง  สร้างสรรค์สิ่งของธรรมดาให้เป็นงานสวย  ฝีมือดีได้  การมีอาชีพเป็นนักออกแบบถือเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมเช่นกัน  โดยเฉพาะงานออกแบบอัญมณี  เครื่องประดับทั้งหลายที่เป็นของสวยงาม  จัดได้ว่าเป็นความฝันอย่างหนึ่งของสาวๆ เลยก็ว่าได้  สำหรับอาชีพนักออกแบบ  นอกจากต้องมีคุณสมบัติสร้างสรรค์งานได้เป็นอย่างดีแล้ว  อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือต้องมีความอดทน  และมีสไตล์ของตัวเองที่ชัดเจน  สิ่งนี้จะทำให้งานออกแบบของคุณมีความแตกต่างจากท้องตลาดในปัจจุบัน
 5.  งานไอที  เพื่อชีวิตทันสมัย
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่สนใจไอที  คงต้องบอกว่าเชยสุดๆ  ใน พ.ศ.นี้  กันเลย  แต่ถ้าคุณสนใจถึงขนาดที่ว่านำความรู้เหล่านั้นมาประกอบเป็นอาชีพได้ละก็  คุณก็โชคดีไม่น้อยทีเดียว  เพราะยุคนี้ทุกสิ่งรอบตัวต่างดำเนินไปด้วยระบบดิจิตอลไปเสียหมด  ดังนั้น  อาชีพอย่างการเป็นโปรแกรมเมอร์  นักวิเคราะห์ระบบ  นักจัดการวางแผนงานด้านคอมพิวเตอร์  เหล่านี้จงเป็นหนทางที่จะสร้างรายได้ที่ดีให้กับคุณ  แถมยังดูอินเทรนด์เป็นหนุ่มสาวสมัยใหม่ที่น่าจับตามองอีกด้วย  เพราะฉะนั้นใครรู้ตัวว่ามีหัวด้านไอทีก็อย่างรีรอ  เร่งหาความรู้เพิ่มเติมแล้วร่อนใบสมัครอัพเกรดชีวิตด่วน
 6.  ช่างพูดช่างคุย  ลุยงานตลอด
อาชีพนักขายและนักการตลาด  ยังคงเป็นอาชีพฮอตฮิตในใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยู่เสมอ  เพราะนอกจากรายได้ที่ดีเสียจนใครๆ  ต้องอิจฉา   เรื่องของลักษณะงานยังน่าสนใจไม่น้อย  เรียกว่าสนุกเร้าใจ  ยิ่งใครชอบการทำงานภายใต้ความกดดันจากคู่แข่ง  งานนี้เหมาะกับคุณเลยค่ะ  บุคลิกภาพที่โดดเดนของคนทำงานด้านนี้ต้องเป็นคนที่หน้าตาดี  เรียกว่าเห็นแล้วต้องน่าคุยด้วย  มีความฉลาด  ไหวพริบเป็นเลิศ  ช่างเจรจา  และยังต้องทำงานอย่างหนัก  ขยันในการติดต่อประสานงาน  เหล่านี้คือการทำงานอย่างหนัก  แต่ก็แลกมาด้วยรายได้ที่งดงามเสมอ  เอาเป็นว่า  คุณสมบัติที่ว่ามาหากตรงกับคุณมากกว่า 2 อย่างก็ลองเบนเข็มชีวิตมาลิ้มลองงานขายดูสักหน่อยก็ไม่เลวนะ
 7.  งานโฆษณา  ลูกบ้าเต็มเหนี่ยว
การเป็นนักโฆษณาที่ดีและจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว  ต้องอาศัยความกล้า  บ้าบิ่น  โดยเฉพาะความบ้าทางด้านความคิด  อย่างที่ใครๆ มักบอกให้คิดต่าง  หรือคิดในมุมกลับกัน  คนในแวดวงโฆษณามักมียีนชนิดนี้แฝงอยู่เสมอ  เด็กจบใหม่จำนวนมากใฝ่ฝันอยากทำงานด้านนี้  ด้วยความเชื่อที่ว่าความคิดต่างๆ ที่พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับก่อนหน้านี้  สังคมอาจเปิดโอกาสให้พวกเขาบ้าง  และเชื่อมั้ยว่านักโฆษณาหลายคนต่างต่อยอดให้ตัวเองจนกลายเป็นผู้กำกับดังมาแล้วหลายคน  เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อในลูกบ้าของตัวเองว่ามีเพียงพอแล้วละก็  ลองหันมามองอาชีพที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างนักโฆษรา  แล้วคุณจะรู้ว่า  อิสระทางความคิดสนุกแค่ไหน
 8.  เป็นนายตัวเอง  เวิร์กสุด ๆ
ใครจะเถียงบ้างว่าไม่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง  เราเชื่อว่า  ความฝันลึกๆ  ในใจทุกคนคือการได้ทำงานให้ตัวเอง  เพื่อตัวเองจริง ๆ  ปัจจุบันเราจึงเห็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เริ่มต้นเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อยๆ  หลายคนโอกาสดีเพราะฐานะทางการเงินเอื้ออำนวย  แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อาศัยความกล้าได้กล้าเสีย  ยอมลงทุนเงินก้อนที่เก็บหอมรอมริบมานาน  เพื่อให้ธุรกิจที่รักเริ่มต้นขึ้นได้  คุณสมบัติใหม่ของคนที่อยากทำอาชีพนี้ให้สำเร็จคือต้องมีความรู้ในสิ่งที่ตัวเองทำให้มากที่สุด  และที่ขาดไม่ได้เลยคือความขยัน  อดทนมากกว่าการเป็นลูกน้องคนอื่น  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  การทำอาชีพเป็นเจ้านายตัวเองก็ได้รับความนิยมและมีคนจำนวนไม่น้อยยอมเสี่ยงเอาเงินเก็บทั้งชีวิตที่มี  เพื่ออาชีพที่เรียกกันว่า  เจ้าของธุรกิจส่วนตัว
 9.  เก่งเฉพาะด้านงานรายได้ดี
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง  เป็นชื่อเรียกสำหรับอาชีพที่คนทั่วไปจะมาร่อนใบสมัครกันง่ายๆ  ไม่ได้นะคะ  อย่างแรกและสำคัญที่สุดคือคุณต้องเรียนวิชาเหล่านี้มาโดยตรงและมีความรู้เป็นอย่างดีเสียก่อน  จึงจะสามารถทำงานได้  เพราะงานประเภทนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก เช่น  แพทย์  พยาบาล  ทนายความ  วิศวกร  นักบิน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์  คุณต้องรับผิดชอบชีวิตและความปลอดภัยของคนเพราะฉะนั้นอาชีพนี้แม่จะรายได้ดี (ตลอดกาล)  แต่มีความเสี่ยงสูงกว่าคนอาชีพอื่นเช่นกัน  คนส่วนใหญ่ที่ทำงานด้านนี้มักจะมีความชัดเจนมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม  เพราะการเรียนในระดับปริญญาจะต้องมีการปูพื้นความรู้อย่างเต็มที่เสียก่อน  และถ้าคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้แบ้วอยากจะทำอาชีพเหล่านี้ดูบ้าง  คงต้องบอกว่าสายไปเสียแล้วคะ  แต่เอาเป็นว่าอาชีพเชี่ยวชาญเฉพาะทางแบบนี้  มักจะไม่เคยตกอันดับ  10  อาชีพสุดฮอตตลอดกาลของคนบนโลกใบนี้แน่นอน
 10.  ฟรีแลนซ์  รูปแบบชีวิตอิสระ

ขาดไม่ได้แน่นอนกับอาชีพที่อินเทรนด์สุดๆ  ของคนยุคปัจจุบัน  กับการทำงานแบบอิสระ  ไม่ขึ้นกับใคร  งานที่ต้องรับจ้างเป็นชิ้น ๆ หรือที่เรียกกันถนัดปากว่า  ฟรีแลนซ์  แรกๆ  เราจะรู้จักอาชีพนี้จากคนทำงนในแวดวงแฟชั่น  ไม่ว่าจะเป็นช่างทำผม  เมกอัพอาร์ติสท์  ช่างภาพ  และไม่นานกลุ่ม  นักเขียนที่รับจ้างเขียนงานให้กับสำนักพิมพ์ต่างๆ  ก็มีจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งฟรีแลนซ์ได้แพร่กระจายไปสู่ทุกกลุ่มงาน  ไม่ว่าจะเป็น  สถาปนิก  นักออกแบบ  ประชาสัมพันธ์  นักโฆษณา  ขายสินค้าบนเว็บไซต์  แม้กระทั่งนักพยากรณ์  ฟรีแลนซ์จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากคนในสังคมไทยตอนนี้แม้รายได้ของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมหลายอย่าง  แต่อิสระจากการทำงาน  และอาชีพที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน  ถือเป็นความสุขที่มากเกินพอสำหรับคนอาชีพนี้
ที่มา: http://guidance.obec.go.th/?p=1060

5 อุปสรรคเรื่องเรียน ที่เป็นกับดักของเด็กยุคนี้

5 อุปสรรคเรื่องเรียน ที่เป็นกับดักของเด็กยุคนี้
1. เรียนตามเพื่อนหรือตามกระแส 
มีเด็กจำนวนมากเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร ไม่รู้เป้าหมายในชีวิต ฉะนั้นช่วงที่ต้องมีการเลือกแผนการศึกษา เด็กเหล่านี้จึงเลือกเรียนตามเพื่อน ตามกระแสสังคม ตามคำบอกของครู ตามคำปลูกฝังของพ่อแม่ เช่น เรียนให้เก่งจะได้ไปเป็นหมอ วิศวะ หรือไม่ก็ถูกปลูกฝังให้เลือกเรียนแผนวิทย์ - คณิต ไว้ก่อนด้วยเหตุผล เพราะมีทางเลือกเยอะ ทั้งที่เด็กอาจไม่ชอบ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรียนในสิ่งที่ถนัดหรือที่ชอบ เมื่อเรียนจบออกมา เด็กจำพวกนี้มักจะเปลี่ยนสายงานไปเรื่อยๆ และไม่ได้ทำงานในสายที่ตัวเองจบมา
2. เรียนสาขาที่อยากได้เงินเยอะ 
นี่เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เด็กๆ ทุกยุคทุกสมัยถูกปลูกฝังจากพ่อแม่ผู้ปกครองให้เลือกเรียนตั้งแต่แยกแผนการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา เพื่อเตรียมการสำหรับเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายให้เลือกคณะที่มีโอกาสสร้างรายได้จำนวนมาก เรียกว่าเลือกเพราะเงินมากกว่าเลือกเพราะตัวเองถนัดหรือชอบ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินดีเหมือนที่ตั้งเป้าไว้หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่มักคิดคล้ายๆ กัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นกระแส เช่น แห่กันเข้าคณะใดคณะหนึ่งจำนวนมาก และสุดท้ายก็ต้องไปแย่งงานกันจำนวนมากเมื่อจบไปแล้วอยู่ดี
 3. เรียนกวดวิชาอย่างหนัก 
พ่อแม่ทุกคนมักคาดหวังให้ลูกเรียนสูงๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดังๆ โดยเห็นว่าความรู้ที่ลูกได้จากรั้วโรงเรียนไม่เพียงพอ ระบบการศึกษาโรงเรียนไม่ได้ให้ความมั่นใจกับพ่อแม่และผู้คนในสังคม เมื่อพ่อแม่แทบทุกคนอยากให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ย่อมอยากให้ลูกเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงก่อน บางคนเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาหรือระดับอนุบาล จึงมีพ่อแม่จำนวนมากส่งให้ลูกเรียนพิเศษกับโรงเรียนกวดวิชาดังๆ แม้จะแพงแสนแพงแต่ก็ยอมหาเงินมาให้ลูกเรียนพิเศษให้ได้ เพราะหวังว่าจะทำให้ลูกเรียนดี เรียกว่าระห่ำเรียนกวดวิชาตั้งแต่เล็กจนโต เรียนทั้งวันธรรมดาและวันหยุด หรือแม้กระทั่งช่วงปิดเทอม เด็กๆ ก็เรียนรู้ว่าต้องเรียน และต้องเรียน
4. เรียนในชั้นปกติไม่เข้าใจ 
                ปัญหานี้มีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ระหว่างเด็กไม่ตั้งใจเรียน หรือครูไม่มีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดี ก็เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์มายาวนาน และก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและถูกวิธี สุดท้ายเมื่อเด็กเรียนในชั้นไม่เข้าใจ ก็ต้องไปกวดวิชาอยู่ดี อีกประเด็นปัญหาหนึ่งก็คือ ปัญหาเรื่องบุคลากรทางการศึกษาในบ้านเรายังขาดแคลนคุณภาพอยู่มาก มีภาพสะท้อนจากเด็กว่าทำไมครูสอนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง แต่กลับสอนพิเศษรู้เรื่อง ทำไมครูไม่หาวิธีการสอนที่สนุก ทำไมเวลาสอนต้องอ่านตามหนังสือ ฯลฯ สรุปก็คือไม่สามารถทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียน
5. เรียนเพื่อสอบไม่ใช่เพื่อรู้

การเรียนการสอนในบ้านเรายังเป็นรูปแบบเรียนเพื่อสอบมากกว่าเรียนเพื่อความรู้ เชื่อหรือไม่เด็กไทยเรียนหนักมากที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบการศึกษาไม่ได้ตอบสนองต่อการนำความรู้ที่ได้ไปตอบโจทย์การทำงานจริงในอนาคต แต่กลับเน้นการวัดผลคะแนนและการสอบเป็นหลัก จนมีเสียงสะท้อนเกี่ยวกับการศึกษาจากผู้บริหารชั้นนำของไทยที่รับเด็กเข้าทำงาน พบว่าเด็กไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถในแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนในตำราเรียนนั่นเอง
       อุปสรรคต่างๆ ในระบบเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กๆ ขาดทักษะชีวิตในการเรียนรู้จักตัวเอง ไม่สามารถค้นหาความถนัดและความสามารถของตัวเองว่าทำสิ่งใดได้ดี

ที่มา: http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000034566

Thursday, July 7, 2016

6 วิธีการค้นหาตัวเองว่าถนัดด้านไหน



6 วิธีการค้นหาตัวเองว่าถนัดด้านไหน
1. เลือกและเรียงลำดับวิชาที่ชอบ และเขียนด้วยว่าทำไมถึงชอบ (หากไม่ชอบเขียน จะคิดตอบเฉยๆ ก็ได้ แต่ถ้าได้เขียนหรือพิมพ์ไว้ด้วยจะช่วยเน้นย้ำและทวนได้ว่าเราชอบจริงๆ)
ให้ระบุวิชา และสิ่งที่ชอบในวิชานั้นๆ ให้ชัดเจน หรือเลือกตามนี้
วรรณคดี
- สถิติและความน่าจะเป็น
- เศรษฐศาสตร์
- ทำอาหาร
- ประวัติศาสตร์
- การเขียนและไวยกรณ์ภาษา
- คอมพิวเตอร์
- พลศึกษา
- สุขศึกษา
- ชีววิทยา
- วิชาภาษาเฉพาะฟัง - พูด
- ฟิสิกส์
- คิดคำนวณ
- เคมี
- งานประดิษฐ์
- ดนตรี
- วาดเขียน
- งานช่าง
เนื้อหาและสาระวิชาที่เราชอบ หรือถนัด ช่วยบ่งชี้ไปถึงเส้นทางสายการเรียน หรือคณะที่เลือกในมหาวิทยาลัย หรืออาชีพที่เหมาะสมได้ เช่น ชอบสถิติ ต้องเรียนบัญชี  ชอบดนตรี เล่นเป็นอยู่แล้ว เข้าคณะดุริยางคศิลป์เลย ชอบงานช่าง น่าจะเลือกเรียนคณะวิศวกรรม เป็นต้น 
  ดังนั้นการระบุไปเลยว่าชอบเนื้อหาตรงไหนในวิชานั้นๆ จะเน้นให้เราเข้าใจตนเองได้ชัดเจนขึ้นมากกว่า บอกลอยๆ ว่าชอบวิชานั้น แต่ไม่รู้ว่าชอบตรงไหน อาจชอบเพราะครูสอนดีก็ได้ 
 2. สังเกตเวลาว่าง ว่าชอบทำอะไร มีงานอดิเรกอะไร หรืออยากจะไปทำอะไรตอนที่มีเวลาว่าง (ไม่ ใช่งานอดิเรกประเภท "ว่างก็ต้องนอน"นะจ๊ะ) เช่น น้องๆ บางคนพอใกล้วันหยุด ต้องวางแผนไปเที่ยวต่างจังหวัดทันที แปลว่า ชอบท่องเที่ยว อาจชอบอาชีพมัคคุเทศก์ หรือชอบไปตามที่ที่มีทิวทัศน์งาม พร้อมเพื่อนสนิทหน้าตาดีอีกคน เพื่อไปถ่ายรูปมุมสวยๆ เป็นต้น
3. ศึกษาอาชีพที่น่าสนใจ ก็อาชีพบนโลกเรานี้มีหลากหลาย ทำงานต่างกัน บางอาชีพเราอาจไม่รู้จักก็ได้ บางอาชีพชื่อแปลก ทำอะไรแปลกๆ เสียไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่อาชีพเหล่านี้ อาจมีเนื้องานที่น่าสนใจและตลาดแรงงานอาจต้องการอย่างคาดไม่ถึงเชียว หรือบางทีอาชีพที่เราๆ อาจรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่ได้ไปลองศึกษาให้รู้เนื้องานจริง แล้วเลือกเรียนไป เราอาจไม่ชอบภายหลังก็ได้ ที่สำคัญแต่ละอาชีพมีแรงกดดันแตกต่างกันไป อาจไม่เข้ากับเราก็ได้ แต่เราไม่รู้ เช่น หมอ รู้ว่าเรียนยาก ต้องเก่ง ต้องเจอเลือด แต่เรากลับไม่เคยรู้เลยว่า การเป็นหมอต้องแบกรับความคาดหวังจากคนไข้และญาติคนไข้ ต้องรักษาหายนะ และเสี่ยงต่อการรักษาผิดพลาดตลอดเวลา เพราะ ร่างกายมนุษย์นั้นซับซ้อนเกินยั้งรู้ไปทั้งหมด  เราอาจเป็นพวกกังวลจัดว่าจะผิดจะพลาดจนไม่กล้าทำอะไรเลยก็ได้ แล้วถึงตอนนั้นก็กลายเป็นหมอที่ไม่กล้ารักษาคนไข้ชีวิตเศร้าแน่ๆ เป็นต้น
4. สังเกตว่าตัวเอง มีความถนัด สิ่งที่ทำได้ดี ในเรื่องใด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอาชีพต่างๆ กับความชอบ และความถนัดของเราดู บาง ทีสิ่งที่เราทำได้ดีอาจเป็นเรื่องคาดไม่ถึงก็ได้ เช่น พี่เกียรติเป็นพวกจัดการงานเอกสารเก่งมาก ทำรายงานเป็นเยี่ยม เออ คนทำรายงานเก่ง แบบนี้ก็มีด้วยนะ ฮา บางคนไม่ค่อยพูด แต่กลับเป็นพิธีกรได้ยอดเยี่ยมมากก็มี บางคนคัดลายมือสวยมาก แถมประดิษฐ์อักษรได้หลากหลาย ต่อยอดโดยหันไปทำตัวอักษรใช้ในคอมพิวเตอร์ได้ บางคนสามารถใช้ภาษาที่น้อยคนจะใช้ได้ อย่างภาษาปกาเกอะญอ ก็สามารถไปทำงานด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมได้ดี   
การรับรู้ว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถอะไรสักอย่าง ทำให้เราเห็นคุณค่าในตนเอง และยังสามารถต่อยอดไปสู่อาชีพในอนาคตได้ด้วย ไม่มีใครที่ไม่มีความสามารถเฉพาะตัวหรอก เพียงแต่จะหาเจอหรือเปล่าเท่านั้นเอง เช่น บอมบอมชอบให้บริการและทำให้ผู้อื่นมีความสุข บอมบอมจะไปเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เป็นต้น
5. สังเกตจากหนังสือที่อ่าน  วิธีแปลกอย่างไม่น่าเชื่อ แต่คนใช้ได้ก็ต้องอ่านหนังสือมากสักหน่อย ให้ดูแนวหนังสือที่ตัวเอง ว่าชอบเลือกหนังสืออย่างไร ชอบเพราะตัวละคร หรือชอบหนังสือแนวไหน ใครดำเนินเรื่อง บางทีอาชีพของตัวละครที่เราชอบอาจเป็นอาชีพที่เราสนใจก็ได้ 
     โดยปกติแล้ว เราจะสนใจหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนที่เราเคยอ่านและชอบมาก่อน ดังนั้น เนื้อหาหรือหนังสือที่เราเลือกก็จะมีแนวทางเดียวกัน
6. เปิดหูเปิดตา ทำกิจกรรมของโรงเรียน เข้าค่ายอบรมต่าง ก็ช่วยได้นะ เพราะงานของโรงเรียนมีหลายๆ ตำแหน่ง อย่างคณะกรรมการนักเรียน ก็มีประธาน มีเลขานุการ มีสวัสดิการ ฝ่ายหาทุน ฝ่ายทำหนังสือโรงเรียน  ใครจะรู้หากเราได้ทำงานต่างๆ เหล่านี้ เราอาจชอบและทำได้ดีในอาชีพที่คล้ายคลึงกันก็ได้ เช่น ฝ่ายทำหนังสือโรงเรียน ทำงานคล้ายกับตำแหน่งบรรณาธิการหนังสือ ฝ่ายหาทุนของโรงเรียน นี่คืองานด้านการตลาดในอาชีพจริงๆ เลย 
ที่มา: https://www.dek-d.com/admission/25497/